เครื่องวัดเสียง คือ เครื่องมือสำหรับการตรวจวัดเพื่อประเมินค่าระดับความดังเสียง โดยสามารถประเมินได้หลายรูปแบบ เช่น ผลกระทบต่อสุขภาพในการทำงาน ผลกระทบในแง่การรบกวนจากสิ่งแวดล้อม เสียงก้องในห้อง
เครื่องวัดเสียง ยี่ห้อไหนดี
การตอบว่าเครื่องวัดเสียงยี่ห้อไหนดีนั้น เป็นเรื่องที่บอกได้ยาก แต่ควรมีหลักในการพิจารณาเลือกซื้อเครื่องมือ ดังนี้
1. มาตรฐานของเครื่องมือ
เครื่องวัดเสียงใช้ IEC 61672 หรือ ANSI S1.4 หรือ ANSI S1.43
เครื่องวัดปริมาณเสียงสะสม หรือแบบติดตัวบุคคลใช้ IEC 61252 หรือ ANSI S1.25
2. ความแม่นยำของเครื่องมือ
โดยมาตรฐานเครื่องมือวัดเสียงจะถูกแบ่งเป็น Class/Type 1 และ Class/Type 2 โดย
Class 1 จะมีความแม่นยำดีกว่า Cass 2 ดังนั้นการเลือกใช้งานจะขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ในการตรวจวัด เช่นงานวิจัยใช้
Class 1 งานตรวจวัดในโรงงานอุตสาหกรรมใช้ Class 2
3. ฟังก์ชั่นในการทำงาน ต้องการอะไรบ้าง
วิเคราะห์ความถี่เสียงหรือ แยกความถี่ (1/1,1/3) ใช้สำหรับการปรับปรุงแก้ไขด้านวิศวกรรม การวัดในโครงการอนุรักษ์การได้ยิน
พารามิเตอร์ที่จำเป็นสำหรับการตรวจวัดครบถ้วนหรือไม่ เช่น ค่า 90 สำหรับวัดเสียงรบกวน, ค่า TWA สำหรับการวัดเสียงตามกฎหมายความปลอดภัย, ค่า RT 60 สำหรับการวัดเสียงก้อง
4. การใช้งาน
การแปรผลข้อมูลที่ง่ายต่อความเข้าใจ ปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสมในการตรวจวัด
เครื่องวัดระดับเสียงมีกี่ประเภท
การแบ่งประเภทเครื่องวัดเสียงนั้น สามารถแบ่งได้หลายประเภท เช่น
1. แบ่งตามวัตถุประสงค์การใช้งาน เช่น การวัดเสียงในสิ่งแวดล้อม, การวัดเสียงในโรงงานอุตสาหกรรม, การวัดเหตุรำคาญ
2. แบ่งตามความแม่นยำในการตรวจวัด แบบ Class 1 หรือ Class 2
3. แบ่งตามลักษณะการใช้งาน เช่น การติดตั้งภายนอกอาคาร การตรวจวัดแบบพื้นที่ การตรวจวัดแบบติดตัวบุคคล
เครื่องวัดเสียงในโรงงาน
เครื่องวัดเสียงโรงงานอุตสาหกรรมนั้น วัตถุประสงค์หลัก คือปฏิบัติตามกฎหมายด้านความปลอดภัย โดยกฎหมายที่เกี่ยวข้องหลักๆ คือ 1. กฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานในการบริหารและการจัดการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานเกี่ยวกับความร้อน แสงสว่าง และเสียง พ.ศ. 2559 2. ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง มาตรการคุ้มครองความปลอดภัยในการประกอบกิจการโรงงานเกี่ยวกับสภาวะแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ.2546 การตรวจวัดเสียงจะต้องทำการตั้งค่าการตรวจวัดที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้อง ควรทำความรู้จักกับ “พารามิเตอร์” ที่เกี่ยวข้องกับเสียงต่างๆ เช่น TWA, Dose, Exchange rate, LEQ, Response (Fast, Slow, Impulse), Weighting(A,C,Z)
เสียงรบกวน
- เสียงรบกวนคือ เสียงที่ก่อให้เกิดความรำคาญ อาจจะเป็นเสียงดัง หรือ ไม่ดังก็ได้
ประเทศไทยมีกฎหมายว่าด้วย “เรื่องเสียงรบกวน” หลายฉบับ
ประกาศคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติฉบับที่ 17 (พ.ศ. 2543) เรื่อง ค่าระดับ เสียงรบกวน ซึ่งออกโดยอาศัยอํานาจตามมาตรา 32(6) แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพ สิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2535• ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง กำหนดค่าระดับเสียงการรบกวนและระดับเสียงที่เกิดจากการประกอบกิจการโรงงาน พ.ศ. 2548 - ประกาศกรมอนามัย เรื่องกำหนดมาตรฐานเหตุรำคาญ กรณีเสียงรบกวนในความเป็นจริงเราสามารถเจอเสียงรบกวนได้จากหลายสถานการณ์ อาจไม่ได้มาจากสิ่งแวดล้อมภายนอกอาคารเท่านั้น
- เสียงรบกวนในสิ่งแวดล้อม เช่น เสียงเครื่องบิน เสียงรถจากท้องถนน
- เสียงรบกวนในการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น เสียงรบกวนจากห้องพักข้างๆ เสียงก้องในห้องประชุม เสียงสะท้อนจากการจัดการห้องที่ไม่ดี ในการตรวจวัดในการประเมิน จำเป็นต้องเลือกใช้วิธีการและ “พารามิเตอร์” ที่เหมาะสม ตัวอย่างเช่น
- หากเราพบการร้องเรียนเรื่องเหตุรำคาญ เราสามารถใช้การตรวจวัดเสียงรบกวน โดยอ้างอิงจาก กฎหมายเหตุรำคาญ ของกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข หรือกฎหมายอื่นที่เกี่ยงข้อง ซึ่ง ต้องใช้พารามิเตอร์ LEQ และ L90 เป็นสำคัญ
- หากเป็นเสียงรบกวน หรือเสียงก้องในห้องประชุมให้ประเมินจาก ค่าความก้องสะท้อนของเสียง RT60, ค่าเสียงรบกวน NC, ค่าดัชนีการส่งผ่านของเสียงพูด STI
เสียงที่เป็นเสียงรบกวน (Noise) สามารถก่อให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพได้จริง
“WHO night noise guidelines for Europe” กล่าวว่าเสียงที่เป็นเสียงรบกวน (Noise) สามารถก่อให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพได้จริง
ข้อแนะนำในการปกป้องสุขภาพ
การนอนหลับเป็นส่วนสำคัญของชีวิตที่มีสุขภาพดีและได้รับการยอมรับว่าเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานภายใต้
อนุสัญญายุโรปว่าด้วยสิทธิมนุษยชน 1 (ศาลสิทธิมนุษยชนแห่งยุโรป พ.ศ. 2546)
จากการทบทวนหลักฐานอย่างเป็นระบบจากการศึกษาทางระบาดวิทยาและการทดลอง ความสัมพันธ์ระหว่างการได้รับเสียงในเวลากลางคืนและผลกระทบต่อสุขภาพสามารถสรุปได้ดังนี้
“พารามิเตอร์” ที่ควรรู้จักในการตรวจวัดเสียง
พารามิเตอร์ในการตรวจวัด มีหลากหลายในที่นี้จะยกตัวอย่าง คำที่พบได้บ่อยในการตรวจวัดตามกฎหมายและมาตรฐานในประเทศไทย
• TWA (Time Weighted Average)
ค่า Time Weighted Average เป็นค่าที่แสดงความต่อเนื่องของระดับเสียงตลอดระยะเวลา 8 ชั่วโมง ค่าเฉลี่ยนี้จะเริ่มต้นที่ 0 ดังนั้น ค่าที่ตรวจวัดได้จะมีค่าน้อยกว่าค่า Lavg เมื่อทำการตรวจวัดน้อยกว่า 8 ชั่วโมง และจะมีค่าเท่ากันเมื่อทำการตรวจวัดที่ 8 ชั่วโมงเท่ากัน และจะมีค่าสูงกว่าเมื่อทำการตรวจวัดมากกว่า 8 ชั่วโมง
ตัวอย่างเช่น ค่า TWA มีพลังงานเสียงมากกว่า 8 ชั่วโมง ถ้าเครื่อง Noise Dosimeter เก็บข้อมูลต่อเนื่อง 2 ชั่วโมง Lavg คือค่าเฉลี่ยของระยะเวลา 2 ชั่วโมง ซึ่งจะมีค่าน้อยกว่าพลังงานเสียงที่ถูกเก็บ 2 ชั่วโมง สำหรับค่า TWA ที่ 2 ชั่วโมงจะมีค่าระดับพลังงานน้อยกว่า การเก็บข้อมูลที่ 8 ชั่วโมง ค่า TWA กำหนดค่าเบื้องต้นที่ 8 ชั่วโมง เมื่อทำการตรวจวัดโดยใช้Guide line ของ OSHA
ตัวอย่างเช่น ถ้าระยะเวลาการทำงานเท่ากับ 6.5 ชั่วโมง เมื่อทำการตรวจวัดที่ 6.5 ชั่วโมง ค่า TWA คือระดับที่เก็บเพื่อรายงานต่อ OSHA
• Dose
Dose เป็นค่าที่สัมพันธ์กับ Criterion Level โดยค่า Dose 100% คือค่าสูงสุดที่อนุญาตให้รับสัมผัสเสียงได้ สำหรับ OSHA 100% Dose คือ ค่าเฉลี่ยของระดับเสียง 90 dB ในระยะเวลาการทำงาน 8 ชั่วโมง ซึ่งค่าของ Dose นี้ จะมีการเปลี่ยนแปลงในลักษณะลดลงครึ่งหนึ่ง หรือเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว ตามค่า Exchange Rate ที่กำหนดจากองค์กรต่างๆ
ตัวอย่างเช่น OSHA กำหนด Exchange Rate ที่ 5 dB โดยค่าของ Dose จะเปลี่ยนแปลงโดยเพิ่มขึ้น 2 เท่าหรือลดลงครึ่งหนึ่ง ทุกๆการเพิ่มขึ้นหรือลดของ Exchange Rate 5 dB ถ้าค่า TWA เป็น 100 dB แสดงว่ามีการเพิ่มขึ้นไป 10 dB จากค่า Criterion Level ที่ 90 dB ดังนั้นมีการเปลี่ยนแปลง ของ Dose เพิ่มขึ้นเป็น 4 เท่า ดังนั้นผลของDoseจะเท่ากับ 400% ถ้าค่า TWA เป็น 80 dB แสดงว่ามีการลดดง 10 dB จากค่า Criterion Level ที่ 90 dB ดังนั้นมีการเปลี่ยนแปลง ของ Dose ลดลงเป็น 4 เท่า ดังนั้นผลของ Dose จะเท่ากับ 25%
เมื่อมีการเก็บข้อมูลการตรวจวัดเสียงน้อยกว่าระยะเวลาการทำงานจริง เราสามารถคำนวณค่าเพื่อเป็นตัวแทนในระยะเวลาการทำงานจริง ซึ่งต้องคำนึงถึงลักษณะของเสียงที่เราต้องการใช้ค่าจากการคำนวณโดยเสียงต้องมีการเปลี่ยนแปลงของระดับเสียงเพียงเล็กน้อยตลอดระยะเวลาการตรวจวัด
ตัวอย่างเช่น ที่การทำงาน 0.5 ชั่วโมง วัด Dose ได้ 9% dose แต่ในการทำงานจริงใช้เวลา 7.5 ชั่วโมง ดังนั้นค่า Dose คือ 135% dose (7.5/0.5*9%)
• Exchange rate
Exchange Rate หรืออาจรู้จักอีกชื่อหนึ่งว่า Doubling Rate เป็นค่าการอ้างอิงระดับพลังงานเสียงเฉลี่ยในช่วงเวลา ทุกๆครั้งที่มีการเปลี่ยนแปลงพลังงานของเสียงในลักษณะเท่าตัว
• LAVG
เป็นค่าเฉลี่ยของระดับเสียงต่อช่วงเวลาการตรวจวัด โดยจะแสดงเป็นค่านี้เมื่อ มีการตั้ง Thresholds โดยระดับเสียงที่ต่ำกว่า Thresholds จะไม่ถูกนำมาคำนวณในค่าเฉลี่ยนี้ ระดับเสียงที่ถูกตรวจวัดจะถูกเก็บไว้แล้วเมื่อทำการเฉลี่ยแล้วจะไม่สามารถ ระดับเสียงหรือจำนวนข้อมูลเข้ามาเพิ่มได้
ตัวอย่างเช่น ทำการตรวจวัดระดับเสียงในสำนักงานเป็นเวลา 1 ชั่วโมง โดยตั้ง Threshold ที่ 80dB และ Exchange Rate เท่ากับ 5 พบว่ามีค่าระดับเสียงเท่ากับ 50-70 dB และไม่พบระดับเสียงในช่วง 1 ชั่วโมงเกินกว่า 80 dB เลย พบว่า LAVG จะไม่สามารถอ่านค่าใดๆทั้งสิ้น ถ้าในกรณีมีเสียงอื่นๆที่มีระดับเสียงดังมากกว่า 80 dB แทรกเข้ามาเพียงระยะเวลาไม่กี่วินาที บางครั้งผลของการตรวจวัดอาจแสดงค่าเฉลี่ยที่ 40 dB
• LEQ
เป็นค่าเฉลี่ยเช่นเดียวกับ LAVG แต่จะแสดงเป็นค่านี้เมื่อตั้งค่า Exchange Rate เท่ากับ 3 dB และ Threshold ไม่ตั้งค่าใดๆ
• Response (Fast, Slow, Impulse)
-
- Slow response
OSHA, MSHA และ ACGIH ต้องการให้ใช้ slow response ในการตรวจวัดระดับเสียง ค่ามาตรฐานในการตอบสนองของ Slow response คือ 1 วินาที เมื่อเครื่องตั้งค่าระยะเวลาไว้ที่ค่านี้เมื่อสัญญาณ จะมีอัตราการเสื่อมสลายเท่ากับ 4.35dB ต่อ วินาที - Fast response
ค่ามาตรฐานสำหรับการตรวจวัดแบบ Fast จะตั้งอัตราการตอบสนองไว้ที่ 125 มิลลิวินาที เมื่อสัญญาณการตรวจวัดหยุดอย่างเฉียบพลัน จะมีอัตราการเสื่อมสลาย ที่ 34.7dB ต่อวินาที ถ้าเครื่องมือวัดค่าต่อเนื่อง 125 ms โดยที่ระยะสัญญาณสุดท้ายยาวกว่า500 ms
- Slow response
• Weighting(A,C,Z)
สัญญาณเสียงที่เขามาในระดับการตรวจวัดปกติ หรือ ถูกถ่วงน้ำหนัก เครื่องมือจะถูกตั้งค่าการตอบสนองในแต่ละความถี่ ตามลักษณะของกราฟ
A-weighting คือ ค่าที่กล่าวถึงการตอบสนองของหูคน ณ.ความถี่ต่างๆ โดยเราสามารถเลือก Weighting ที่เหมาะสมกับสิ่งที่เราต้องการประเมินได้ ในแต่ละ Weighting
สรุป
เครื่องวัดเสียงนั้น จะดีหรือไม่ดี จะเริ่มตั้งแต่การเลือกเครื่องมือที่เหมาะสมกับงาน เพื่อให้ได้เครื่องมือที่มีมาตรฐานทั้งด้านการผลิต และการสอบเทียบเครื่องมือ รวมถึงมีผู้ที่ให้คำแนะนำและสอนการใช้งานได้อย่างถูกต้องตามหลักการตรวจวัดมาตรฐานด้วย