การตรวจวัดก๊าซในอุตสาหกรรมเดินเรือ (Maritime)
ความสำคัญ มาตรฐาน อันตราย อุปกรณ์ตรวจวัด
อุตสาหกรรมเดินเรือ (Maritime Industry) ถือเป็นอีกหนึ่งภาคอุตสาหกรรมที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดภัยอันตรายจากก๊าซรั่วไหลหรือการสัมผัสก๊าซอันตรายทั้งหลาย ทั้งในกระบวนการขนส่ง ขนถ่าย เก็บรักษาสารเคมี ก๊าซไวไฟ ก๊าซพิษ ไปจนถึงการปฏิบัติงานในพื้นที่อับอากาศ เช่น ระวางเรือ ถังน้ำมัน หรือในระหว่างการซ่อมบำรุง การจัดการความเสี่ยงและความปลอดภัยจึงต้องมีความรัดกุมในทุกขั้นตอน ซึ่งหนึ่งในมาตรการหลักที่สำคัญคือ “การตรวจวัดก๊าซ” ด้วยเครื่องมือหรือระบบที่ได้รับการรับรองมาตรฐานและมีประสิทธิภาพสูง
เหตุผลที่ต้องตรวจวัดก๊าซในอุตสาหกรรมเดินเรือ
การทำงานในอุตสาหกรรมเดินเรือจำเป็นต้องเกี่ยวข้องกับสารเคมีอันตรายและก๊าซหลากหลายชนิด ไม่ว่าจะในรูปแบบของสินค้า สารเคมีที่ใช้ในกระบวนการ หรือในเชื้อเพลิงที่ใช้ขับเคลื่อนเรือ ตัวอย่างได้แก่ ก๊าซไวไฟ (Flammable Gases), ก๊าซพิษ (Toxic Gases), ก๊าซที่ก่อให้เกิดการขาดออกซิเจน (Asphyxiating Gases) เช่น มีเทน (CH₄), ไฮโดรเจนซัลไฟด์ (H₂S), คาร์บอนมอนอกไซด์ (CO), คาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂) หรือ แอมโมเนีย (NH₃) เป็นต้น
เหตุผลสำคัญที่ต้องมีการตรวจวัดก๊าซในอุตสาหกรรมเดินเรือ ได้แก่:
- การปฏิบัติตามกฎหมายและมาตรฐานสากล เช่น International Maritime Organization: IMO (องค์การทางทะเลระหว่างประเทศ), International Maritime Dangerous Goods Code: IMDG Code (ข้อบังคับระหว่างประเทศสำหรับการขนส่งสินค้าอันตรายทางทะเล), Occupational Safety and Health Administration: OSHA (สำนักงานบริหารความปลอดภัยและอาชีวอนามัยของสหรัฐอเมริกา) เป็นต้น
- เพื่อความปลอดภัยของพนักงาน เรือลำใหญ่มีพื้นที่อับอากาศ (Confined Space) พื้นที่ที่อากาศถ่ายเทไม่สะดวก สารเคมีหรือก๊าซเกิดการสะสมได้ง่ายซึ่งอาจทำให้ขาดอากาศหายใจ หรือเกิดพิษเฉียบพลัน
- ป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ เช่น การระเบิด เพลิงไหม้ หรือก๊าซพิษสะสมในพื้นที่
- ลดความเสียหายต่อทรัพย์สิน, สินค้าและสิ่งแวดล้อมจากการรั่วไหลหรือปนเปื้อนก๊าซ
การติดตั้งหรือใช้เครื่องตรวจวัดก๊าซจึงเป็น “มาตรฐานความปลอดภัย” พื้นฐานในทุกกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับขั้นตอนการขนถ่าย จัดเก็บ หรือใช้งานก๊าซในงานเดินเรือ
ความสำคัญของการตรวจวัดก๊าซในงานเดินเรือ
- ความปลอดภัยของชีวิต: เครื่องมือและระบบตรวจวัดก๊าซเป็นกลไกป้องกันและแจ้งเตือนล่วงหน้าหากตรวจพบความผิดปกติของก๊าซในพื้นที่ เช่น ปริมาณออกซิเจนต่ำ หรือมีการสะสมของก๊าซพิษ/ก๊าซไวไฟ ซึ่งสามารถลดการเสียชีวิตและเจ็บป่วยจากการสัมผัสก๊าซเหล่านี้ได้อย่างมาก
- การปฏิบัติตามกฎหมายและมาตรฐาน: IMO, IMDG Code, OSHA กำหนดให้ต้องมีการตรวจวัดก๊าซในบางกิจกรรม เช่น การเข้าไปในห้องอับอากาศ งานบำรุงรักษา, การขนถ่ายสินค้าอันตราย
- ลดความเสียหายต่อธุรกิจและสิ่งแวดล้อม: หากมีการรั่วไหลหรือภัยอันตรายแต่ไม่ได้รับการตรวจจับหรือแจ้งเตือนอย่างทันท่วงที อาจทำให้สูญเสียสินค้า ทรัพย์สิน หรือถูกดำเนินคดีทางกฎหมายเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม
- เพิ่มประสิทธิภาพและภาพลักษณ์องค์กร
การประยุกต์ใช้งานการตรวจวัดก๊าซ (Applications)
- พื้นที่อับอากาศ (Confined Spaces): เช่น ระวางบรรทุก โถงเครื่องยนต์ ถังเก็บ (Tanks) ห้องบำบัดน้ำเสีย ห้องจ่ายเชื้อเพลิง ฯลฯ
- เหนือดาดฟ้า ขณะขนส่ง/ขนถ่ายสินค้าอันตราย: เช่น ขนถ่ายก๊าซ LNG/เชื้อเพลิง, น้ำมัน, สารเคมี IMDG Class ต่างๆ
- ท่าเรือ คลังสินค้า เขตประกอบการในงานขนถ่าย: เช่น ท่าเรือสินค้าทั่วไป/ท่าเรือขนถ่ายน้ำมัน/ก๊าซ/สารเคมี และบริเวณที่มีท่อส่งก๊าซ/เชื้อเพลิงระหว่างเรือหรือระหว่างเรือกับท่า
- สถานีซ่อมบำรุงและงานป้องกันเหตุฉุกเฉิน: ระหว่างงานแก้ไขหรือเข้าไปในจุดที่เคยเกิดก๊าซรั่ว ก๊าซตกค้าง หรือพื้นที่ที่เพิ่งซ่อมแซม/ทำความสะอาดที่มีสารเคมีตกค้าง
- อู่เรือ งานซ่อมบำรุง งานลอกถัง ฯลฯ ที่ต้องเข้าสำรวจ ตรวจจัดการสารเหล็ก สนิม หรือไฮโดรคาร์บอนตกค้างเพื่อความปลอดภัย
- บริเวณติดตั้งและควบคุมระบบระบายอากาศ/ระบบตรวจจับอัคคีภัยอัตโนมัติ
การประเมินพื้นที่ใช้งานจะต้องอิงตามลักษณะของสินค้าอันตราย, จุดเสี่ยงที่อาจเกิดก๊าซรั่ว, การใช้งานในพื้นที่เปิดปิด หรือการปรับแอปพลิเคชันเฉพาะเพื่อให้สามารถประยุกต์ใช้อุปกรณ์ที่เหมาะสมที่สุด
ผลกระทบต่อสุขภาพและอันตรายเมื่อเกิดการรั่วไหลของก๊าซ
ก๊าซแต่ละชนิดที่พบในงานเดินเรือ มีอันตรายแตกต่างกัน ดังนี้
- ก๊าซไวไฟ (Flammable Gases): เช่น มีเทน, โพรเพน, ไซลีน อาจทำให้เกิดระเบิดหากผสมกับออกซิเจนในอัตราส่วนที่เหมาะสมและมีแหล่งจุดไฟ
- ก๊าซพิษ (Toxic Gases): เช่น ไฮโดรเจนซัลไฟด์ (H₂S) ส่งผลร้ายทั้งแบบเฉียบพลัน (หมดสติ เสียชีวิตภายในไม่กี่นาที) และแบบเรื้อรัง (ทำลายระบบประสาท, ตับ ไต ฯลฯ), ซัลเฟอร์ออกไซด์ (SO₂) และไนโตรเจนออกไซด์ (NOx) : เป็นพิษทั้งแบบเฉียบพลันและระยะยาว กระตุ้นโรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจ เพิ่มความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด
- ก๊าซที่ลดออกซิเจน (Asphyxiants): เช่น ไนโตรเจน คาร์บอนไดออกไซด์ ทำให้ออกซิเจนในอากาศลดต่ำลง เกิดอาการหมดสติหรือเสียชีวิตจากการขาดอากาศซึ่งอันตรายมากในพื้นที่อับอากาศ
- ไอระเหยสารอินทรีย์ (VOCs): เป็นสารก่อมะเร็งและทำลายสุขภาพในระยะยาว อาจระคายเคืองทางเดินหายใจ ผิวหนัง ตา
- อุบัติเหตุซ้ำซ้อน: เช่น หากก๊าซรั่วแล้วตกตะกอน ทำปฏิกิริยากับโลหะหรือพื้นผิวร้อน เกิดเพลิงไหม้หรือลุกไหม้ฉับพลัน
โดยทั่วไปการรั่วไหลของก๊าซจะส่งผลอย่างรวดเร็วและรุนแรง ดังนั้นการวัด ประเมิน และแจ้งเตือนล่วงหน้าจึงเป็น “หัวใจ” ของการลดความสูญเสีย
อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นจากการรั่วไหลของก๊าซในงานเดินเรือ
ในประเทศไทย ตังแต่ปี 2562-2568 พบว่ามีอุบัติเหตุเกิดขึ้นหลายกรณี เช่น
มาตรฐานที่เกี่ยวข้องในการตรวจวัดก๊าซและมาตรฐานเครื่องมือตรวจวัดก๊าซ
มาตรฐานสากลและข้อบังคับอุตสาหกรรมเดินเรือ
- International Maritime Organization (IMO): กำหนดหลักเกณฑ์ด้านความปลอดภัยทางทะเล โดยเฉพาะเรื่องการขนถ่าย/บรรทุกสินค้าอันตราย การเตรียมพร้อมระบบฉุกเฉิน การฝึกซ้อมและติดตามแผนฉุกเฉิน
- International Maritime Dangerous Goods Code (IMDG Code): ข้อบังคับว่าด้วยการขนส่งสินค้าอันตรายทางทะเล แบ่งกลุ่มก๊าซและสารเคมีอันตรายเป็นประเภทต่างๆ ตามลักษณะของภัย กำหนดข้อปฏิบัติและเตือนภัยอย่างรัดกุม
- US EPA, OSHA, NIOSH: ระบุแนวทาง/ข้อกำหนดการตรวจวัดมลพิษและสารเคมีในสถานที่ทำงานและสิ่งแวดล้อม เช่น OSHA 29 CFR 1910.146 – Permit Required Confined Spaces
- มาตรฐานไทย: กรมเจ้าท่ามีมาตรการควบคุมท่าเรือเพื่อป้องกันมลพิษจากน้ำมัน สารเคมี หรือก๊าซอันตราย โดยกำหนดให้มีอุปกรณ์และแผนรับมือเหตุการณ์รั่วไหล เตรียมระบบเตือนภัย กำหนดพื้นที่ความเสี่ยง และบังคับใช้กฎหมายกับผู้ที่ก่อให้เกิดมลพิษ พร้อมทั้งกำหนดให้ท่าเรือจัดทำแผนปฏิบัติการประจำท่าเรือให้พร้อมใช้งานตลอดเวลา
มาตรฐานเครื่องมือตรวจวัดก๊าซ
- IECEx: ความปลอดภัยเกี่ยวกับอุปกรณ์ไฟฟ้าสำหรับพื้นที่มีความเสี่ยงในการจุดติดไฟและระเบิด
- ATEX: การรับรองอุปกรณ์สำหรับใช้ในพื้นที่มีความเสี่ยงในการจุดติดไฟและระเบิดของยุโรป
- UL: ทดสอบและรับรองมาตรฐานความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ต่างๆ
- SIL (Safety Integrity Level): มาตรฐานที่ใช้วัดประสิทธิภาพของระบบความปลอดภัย
- DIN EN 50270: ข้อกำหนดทางเทคนิคสำหรับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้ในสภาพแวดล้อมที่มีก๊าซและฝุ่นที่ไวไฟ
- EN 45544/EN 50104/EN 60079-29-1: กำหนดมาตรฐานด้านความแม่นยำ การสอบเทียบ และการพบกับสารพิษ/ก๊าซไวไฟ
- IPXX: ระดับการป้องกันน้ำและฝุ่นของอุปกรณ์ โดยทั่วไปเครื่องวัดก๊าซที่ใช้งานในภาคสนามจะมีมาตรฐาน IP สูง เช่น IP66, IP67, หรือ IP68 เพื่อให้ทนทานต่อสภาพแวดล้อม
การใช้งานเครื่องมือที่ผ่านการรับรองมาตรฐานข้างต้นจะช่วยยืนยัน “คุณภาพ ความแม่นยำ และความปลอดภัยของเครื่องมือ” ในการใช้งานจริงในพื้นที่เสี่ยง
แนวทางการป้องกันอันตรายจากก๊าซในงานเดินเรือ
การป้องกันอันตรายจากก๊าซต้องดำเนินงานร่วมกับมาตรการทั้งระบบ ไม่ใช่เพียงการเลือกใช้เครื่องมือที่ได้มาตรฐานเท่านั้น ดังนี้
1. ประเมินและระบุจุดเสี่ยง: ประเมินพื้นที่และงานที่อาจมีความเสี่ยงของก๊าซรั่วไหล ตั้งแต่ที่เก็บสินค้า การขนถ่าย การซ่อมบำรุง ไปจนถึงห้องเครื่องยนต์หรือพื้นที่อับอากาศ
2. พัฒนาแผนฉุกเฉินและซ้อมแผน: จัดให้มีแผนตอบโต้เหตุฉุกเฉินและฝึกซ้อมอย่างสม่ำเสมอ ร่วมกับบันทึกตรวจสอบการฝึกจริงตามข้อบังคับ
3. ใช้เครื่องตรวจวัดก๊าซอย่างต่อเนื่อง: ตรวจวัดก่อนเข้าปฏิบัติงานและระหว่างปฏิบัติงานในพื้นที่เสี่ยง
4. สอบเทียบเครื่องวัดก๊าซสม่ำเสมอ: เพื่อให้ค่าการวัดมีความถูกต้องสูงสุด
5. อบรมและพัฒนาศักยภาพของบุคลากร: ให้พนักงานเข้าใจการใช้เครื่องมือ วิธีปฏิบัติ การสังเกตสัญญาณเตือนภัย การใช้ PPE และการประกาศ/แจ้งเตือนเหตุฉุกเฉิน
6. สำรวจทิศทางลม เปิดระบบระบายอากาศ: ลดความเสี่ยงจากก๊าซสะสมในพื้นที่ปิด
7. ติดป้ายเตือนและเว้นระยะปลอดภัยอย่างเหมาะสม: จำกัดบุคคลไม่เกี่ยวข้อง/อพยพและควบคุมพื้นที่หากเกิดเหตุฉุกเฉิน
การเลือก Gas Detector สำหรับอุตสาหกรรมเดินเรือ
สรุป
อุตสาหกรรมเดินเรือเป็นภาคงานที่มีความเสี่ยงสูงจากการรั่วไหลของก๊าซอันตราย เช่น ก๊าซไวไฟ ก๊าซพิษ หรือก๊าซที่ทำให้ขาดออกซิเจน ซึ่งอาจเกิดขึ้นในพื้นที่อับอากาศ ระหว่างขนถ่ายสินค้า หรือในระหว่างการซ่อมบำรุง การตรวจวัดก๊าซจึงเป็นมาตรฐานความปลอดภัยที่สำคัญตามข้อกำหนดของ IMO, IMDG Code และ OSHA เพื่อป้องกันอุบัติเหตุ ลดความเสียหายต่อชีวิต ทรัพย์สิน และสิ่งแวดล้อม




