การตรวจสอบ ประสิทธิภาพระบบปรับอากาศและระบายอากาศ (HVAC) สำหรับห้องผ่าตัด
ระบบปรับอากาศและระบายอากาศ (HVAC) มีบทบาทสำคัญในการควบคุมสภาพแวดล้อมภายในห้องผ่าตัด ซึ่งต้องการความสะอาดและความเสถียรของอากาศในระดับสูงสุดตามมาตรฐาน ISO 14644-1 (ISO7-8) ความผิดพลาดของระบบ HVAC อาจทำให้เกิดการปนเปื้อนของเชื้อโรคในอากาศ และเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อหลังการผ่าตัดในผู้ป่วยอย่างมีนัยสำคัญ
การตรวจสอบระบบ HVAC อย่างถูกต้องและสม่ำเสมอจึงเป็นสิ่งจำเป็น ทั้งในด้านของการควบคุมปริมาตรอากาศ (ACH) ความดันแตกต่างอากาศห้องผ่าตัดและทางเดินร่วม(Differencial Pressures room) ความสม่ำเสมอทุกพื้นที่ในห้องของอุณหภูมิ (Temp) ความชื้นสัมพัทธ์(Relative Humidity) รวมถึงการทดสอบประสิทธิภาพของการติดตั้งแผ่นกรองอากาศหากมีการติดตั้ง(Filter Installed leaked Test) เช่น HEPA or ULPA filter ที่ต้องทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพตลอดเวลา การทดสอบเหล่านี้ไม่เพียงแต่เป็นข้อกำหนดของมาตรฐานด้านวิศวกรรมและสุขอนามัยเท่านั้น แต่ยังเป็นแนวปฏิบัติเพื่อสร้างความมั่นใจในความปลอดภัยของผู้ป่วย บุคลากรทางการแพทย์ และคุณภาพโดยรวมของบริการด้านสาธารณสุข
ทำไมต้องตรวจสอบห้องผ่าตัด (Operating room)
เหตุผลที่ต้องตรวจสอบห้องผ่าตัด มีความสำคัญทั้งในด้านความปลอดภัยของผู้ป่วย คุณภาพของการรักษา และการปฏิบัติตามมาตรฐานสากล ดังนี้:
2.1 ป้องกันการติดเชื้อ (Infection Control)
ห้องผ่าตัดเป็นพื้นที่ปลอดเชื้อ การควบคุมคุณภาพอากาศให้สะอาดตลอดเวลา ด้วยคุณสมบัติของระบบปรับและระบายอากาศ เช่น การกรองอากาศให้สะอาด ความดันห้องที่เป็นบวก(สูงกว่าห้องที่เชื่อมถึงกันเทียบกันผ่านช่องประตูหรือพาสบ๊อก) อุณหภูมิและความชื้น สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อลดความเสี่ยงการติดเชื้อในระหว่างและหลังการผ่าตัด
2.2 รักษาคุณภาพอากาศตามมาตรฐาน (Compliance with Standards)
2.3 เพื่อตอบสนองต่อมาตรฐานสากล เช่น ค่าคาวมดันเป็นไปตาม มาตรฐาน ASHRAE 170, ระบบแก้สทางการแพทย์ เป็นไปตามFGI Guidelines, หัวข้อระบุระดับความสะอาดของอากาศ ISO 14644 (สำหรับห้องผ่าตัดที่ดำเนินการตามคู่มือของกองวิศวกรรมการแพทยร์ ภายใต้กำกับของกระทรวงสาธารณสุข)
2.4 ยืนยันการทำงานของระบบ HVAC และระบบกรองอากาศ
แน่นอนว่าระบบเมื่อมีการใช้งานไประยะหนึ่งแล้วตามความถี่การใช้งานของแต่ละสถานพยาบาล อุปกรณ์ในระบบเช่น แผ่นกรองอากาศ ท่อส่งลม ระบบตรวจวัด มักเกิดการเสื่อมตามการใช้งาน หากมีการตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอ จะทำให้ทราบแนวโน้มที่จะเกิดความผิดปกติกับระบบได้ล่วงหน้า ทำให้ไม่เกิดปัญหาห้องไม่พร้อมใช้งานเมื่อมีเหตุฉุกเฉิน แล้วมีห้องพร้อมใช้งาน
2.5 ตรวจสอบว่าระบบระบายอากาศยังทำงานได้ตามที่ออกแบบ เช่น อัตราการแลกเปลี่ยนอากาศ (ACH), ความดันอากาศ, ประสิทธิภาพของ HEPA filter ฯลฯ
2.6 ป้องกันความเสี่ยงด้านกฎหมายและจริยธรรมทางการแพทย์
หากเกิดการติดเชื้อหรือภาวะแทรกซ้อนจากสภาพแวดล้อมและทางห้องผ่าตัดมีข้อมูลผลการตรวจวัดสนับสนุนและยืนยันความสะอาดมีระบบควบคุมความเสี่ยงที่ดี ห้องผ่าตัดจะไม่ได้รับผลกระทบทางกฎหมายและจริยธรรมต่อโรงพยาบาล รวมถึงบุคลากรทางการแพทย์ด้วย
2.7 เพิ่มความเชื่อมั่นของผู้ป่วยและบุคลากรทางการแพทย์
การมีระบบตรวจสอบและบันทึกคุณภาพห้องผ่าตัดอย่างสม่ำเสมอ แสดงถึงความใส่ใจและการควบคุณภาพของโรงพยาบาล
2.8 ตรวจพบปัญหาได้ทันท่วงที
เช่น แรงดันไม่เป็นบวก, อัตราการไหลของอากาศต่ำ, การรั่วซึมของ HEPA filter หรือการสะสมของเชื้อในระบบ ทำให้สามารถแก้ไขก่อนเกิดปัญหาใหญ่
มาตรฐานการระบายอากาศในห้องผ่าตัดและสถานพยาบาล
ASHRAE 170 คือ มาตรฐานการจัดการระบบปรับระบายอากาศในสถานพยาบาล (Ventilation of Health Care Facilities) มีการระบุข้อกำหนดต่างๆในแต่ละพื้นที่แตกต่างกันไป แต่สำหรับห้องที่ต้องการความสะอาดเป็นพิเศษ เช่น ห้องผ่าตัด ยังต้องมีการควบคุมพิเศษที่มากขึ้น โดยจำเป็นต้องได้รับการตรวจสอบความพร้อมโดยอ้างอิงวิธีการมาตรฐานการตรวจวัดด้านห้องสะอาด ISO14644-3 และ CPT จากหน่วยงาน NEBB ซึ่งปัจจุบันกองวิศวกรรมการแพทย์ได้นำมาใช้เป็นแนวทางในการกำหนดข้อกำหนดในการตรวจวัดห้องผ่าตัด เพื่อยกระดับมาตรฐานความสะอาด
รายการ |
ASHRAE 170 |
ISO14644-3 |
ประเภทห้อง | Operating Room | กำหนด ISO Class (ISO Class 7-8) โดยวัดจำนวนอนุภาคในอากาศ (particles/m³) |
Air Changes per Hour (ACH) | ≥ 20 ACH (อย่างน้อย 4 ACH เป็นอากาศจากภายนอก) | วัดและทดสอบโดยดูจาก เครื่องมืออัตราการไหลของอากาศ (CMH หรือ CFM) |
ความดันอากาศ | Positive Pressure (เป็นบวกเมื่อเทียบกับพื้นที่โดยรอบ) | เครื่องวัดความดันต่าง (Magnehelic Gauge หรือ Differential Pressure Gauge) |
อุณหภูมิที่แนะนำ | 20–24°C (ประมาณ 68–75°F) | เครื่องบันทึก (Data Logger หรือ Hygrothermograph) |
ความชื้นสัมพัทธ์ (RH) | 20–60% RH | เครื่องบันทึก (Data Logger หรือ Hygrothermograph) |
การกรองอากาศ | ขั้นต่ำ MERV 14; HEPA filter ในห้องผ่าตัดเฉพาะทาง | ใช้สาร DOP/DEHS Test โดย Photometer หรือ DPC (Particle Counter เทคนิค ที่เน้นความสะอาดระหว่างการทดสอบปอลดภัยกับผู้ปฏิบัตงานลดสารตกค้างในระบบน้อยกว่า Photometer) |
ทิศทางการไหลของอากาศ | Laminar หรือ unidirectional flow (เน้นพื้นที่เสี่ยงสูงบริเวณเตียงผ่าตัด) | เครื่องวัดความเร็วลม (Anemometer) และการทดสอบด้วย Smoke Test (Visual Airflow Test) |
ตำแหน่งช่องจ่ายลม | กระจายลมทั่วทั้งห้องเป็นแบบติดตั้งเพดาน ceiling-mounted diffusers | มีคำแนะนำ จาก ISO14644-4 ที่สัมพันธ์กันและรองรับการตรวจสอบด้วย ISO14644-3 |
ตำแหน่ง return air grille | ติดผนังระดับต่ำรองรับอากาศที่ไหลผ่านผู้ใช้บริการจากเตียงผ่าตัดออกไปนอกห้อง ผ่านช่องทางที่ปลอดภัย | มีคำแนะนำ จาก ISO14644-4 ที่สัมพันธ์กันและรองรับการตรวจสอบด้วย ISO14644-3 |
รายการการทดสอบห้องผ่าตัด
การทดสอบหลัก (Primary Tests ตามมาตรฐาน NEBB)
ประกอบด้วย 5 หัวข้อสำคัญ:
- ปริมาตรอากาศ (Airflow Volume Test) ตรวจสอบอัตราการไหลของอากาศในห้อง
- การรั่วของแผ่นกรอง HEPA ตรวจหาจุดรั่วด้วย Aerosol Photometer หรือ Particle Counter
- ความดันอากาศ (Room Pressurization) ตรวจสอบแรงดันระหว่างห้องเพื่อควบคุมทิศทางลม
- จำนวนอนุภาคในอากาศ ใช้ Particle Counter ตรวจวัดความสะอาด
- อุณหภูมิและความชื้นสัมพัทธ์ ตรวจสอบค่าภายใต้ช่วงที่เหมาะสมต่อการใช้งาน
สรุป
การตรวจสอบระบบระบายอากาศเป็นปัจจัยสำคัญขั้นพื้นฐาน ที่จะบอกได้ว่าสถานบริการทางการแพทย์ หรือ โรงพยาบาล มีความใส่ใจ และพร้อมป้องกันการติดเชื้อ ลดการแพระกระจายของเชื้อ และผู้บริหารต้องการดูแลสุขภาพของบุคลากรทุกคนอย่างแท้จริงและนำไปปฏิบัติได้จริง