ทำไมถึงมี “แผนแม่บทจัดการมลพิษทางเสียงและความสั่นสะเทือน ระยะ 15 ปี (พ.ศ. 2566 – 2580)” และ แผนปฏิบัติการด้านการจัดการมลพิษทางเสียงและความสั่นสะเทือน 3 ระยะ คุณเตรียมรับมือแล้วหรือยัง
สรุปสาระสำคัญ
1. ความจำเป็นของแผน
จากข้อมูลสถิติในช่วงปี 2563-2565 พบว่าปัญหามลพิษทางเสียงและความสั่นสะเทือนเป็นเรื่องร้องเรียนอันดับต้น ๆ
ปัญหามลพิษทางเสียงและความสั่นสะเทือนเกิดขึ้นง่ายและบ่อยครั้งในพื้นที่เมือง อุตสาหกรรม และการคมนาคม
2. เป้าหมายของแผนแม่บท
ลดระดับเสียงและความสั่นสะเทือนให้เป็นไปตามมาตรฐาน
ส่งเสริมคุณภาพชีวิตของประชาชนให้ดีขึ้น
พัฒนาเครื่องมือและระบบตรวจวัดที่ทันสมัย
สนับสนุนการศึกษาวิจัยและนวัตกรรมที่เกี่ยวข้อง
3. 5 กลยุทธ์หลัก
กลยุทธ์ที่ 1 พัฒนาระบบการจัดการและกฎหมาย
กลยุทธ์ที่ 2 สร้างคุณภาพชีวิตที่ดีโดยคำนึงถึงมลพิษทางเสียง
กลยุทธ์ที่ 3 อนุรักษ์และคุ้มครองสิ่งแวดล้อมด้านเสียง
กลยุทธ์ที่ 4 ส่งเสริมความร่วมมือจากทุกภาคส่วน
กลยุทธ์ที่ 5 พัฒนาเมืองและอุตสาหกรรมให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
แผนแม่บทนี้เป็นแนวทางระยะยาวในการจัดการมลพิษทางเสียงและความสั่นสะเทือน โดยมีการกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน มาตรการที่ครอบคลุม และการดำเนินงานอย่างเป็นขั้นตอน เพื่อสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีและสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน ที่มา https://www.pcd.go.th/wp-content/uploads/2024/09/pcdnew-2024-09-03_03-43-45_894902.pdf
การจัดการมลพิษทางเสียงและความสั่นสะเทือน
แนวคิดเชิงระบบและบทบาทของเทคโนโลยี
มลพิษทางเสียงและความสั่นสะเทือนเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของประชาชน ทั้งในแง่ของสุขภาพ โครงสร้างอาคาร และสิ่งแวดล้อมโดยรวม ปัญหานี้มักเกิดขึ้นจากกิจกรรมของมนุษย์ เช่น การก่อสร้าง การขนส่ง และกระบวนการผลิตในภาคอุตสาหกรรม ซึ่งหากไม่มีการควบคุมที่ดีพอ อาจนำไปสู่ผลกระทบทางสุขภาพ เช่น ความเครียด การรบกวนการนอน และปัญหาด้านโครงสร้างอาคารในระยะยาว
เพื่อลดผลกระทบดังกล่าว จำเป็นต้องมีแนวทางการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งรวมถึงการพัฒนา มาตรฐานทางกฎหมาย ระบบเฝ้าระวังที่ทันสมัย และการบังคับใช้มาตรการอย่างเหมาะสม การใช้ เทคโนโลยีตรวจวัดอัจฉริยะ เป็นอีกหนึ่งแนวทางสำคัญที่ช่วยให้สามารถติดตาม วิเคราะห์ และจัดการกับมลพิษทางเสียงและแรงสั่นสะเทือนได้อย่างแม่นยำ
การจัดการมลพิษทางเสียงและความสั่นสะเทือน ปัจจัยและความท้าทาย การควบคุมมลพิษทางเสียงและความสั่นสะเทือนต้องอาศัยแนวทางที่เป็นระบบ โดยมีองค์ประกอบสำคัญดังนี้
- การวิเคราะห์แหล่งกำเนิดมลพิษ ต้องสามารถระบุแหล่งที่มาของเสียงและแรงสั่นสะเทือนที่มีผลกระทบต่อชุมชนและโครงสร้างพื้นฐาน
- การเก็บข้อมูลและเฝ้าระวัง จำเป็นต้องใช้ระบบตรวจวัดที่สามารถบันทึกข้อมูลได้ต่อเนื่องและมีความแม่นยำสูง
- การกำหนดมาตรฐานและแนวทางปฏิบัติ ต้องมีเกณฑ์ที่ชัดเจนในการกำหนดค่ามาตรฐานของเสียงและแรงสั่นสะเทือน
- การบังคับใช้และการตอบสนอง ต้องมีมาตรการแก้ไขปัญหาอย่างทันท่วงทีเมื่อพบค่าที่เกินมาตรฐาน
เทคโนโลยีตรวจวัด กุญแจสำคัญสู่การจัดการที่มีประสิทธิภาพ หนึ่งในแนวทางที่ช่วยให้การจัดการมลพิษทางเสียงและความสั่นสะเทือนมีประสิทธิภาพมากขึ้นคือ การใช้ระบบตรวจวัดอัจฉริยะ ซึ่งสามารถเฝ้าระวังและแจ้งเตือนเมื่อระดับเสียงหรือแรงสั่นสะเทือนเกินค่ามาตรฐาน เทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพต้องมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้
- การตรวจวัดแบบเรียลไทม์ เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถตอบสนองต่อปัญหาได้อย่างรวดเร็ว
- การเชื่อมต่อแบบไร้สาย ช่วยให้สามารถส่งข้อมูลได้โดยไม่ต้องพึ่งพาสายสัญญาณ
- การวิเคราะห์ข้อมูลอัตโนมัติ เพื่อให้สามารถระบุแนวโน้มของปัญหาและคาดการณ์ผลกระทบได้ล่วงหน้า
SV 803 โซลูชันสำหรับการเฝ้าระวังแรงสั่นสะเทือน หนึ่งในเทคโนโลยีที่สามารถสนับสนุนการจัดการมลพิษทางเสียงและแรงสั่นสะเทือนคือ SV 803 Wireless Building Vibration Monitoring System ซึ่งออกแบบมาเพื่อช่วยให้การเฝ้าระวังแรงสั่นสะเทือนในอาคารและโครงสร้างพื้นฐานมีความแม่นยำและมีประสิทธิภาพ โดยมีคุณสมบัติเด่นดังนี้
- ตรวจวัดแรงสั่นสะเทือน 3 แกน (X, Y, Z) ด้วยเซนเซอร์ MEMS ที่มีความแม่นยำสูง
- รองรับมาตรฐานสากล เช่น ISO 4866 และ DIN 4150-3 ซึ่งใช้ในการประเมินผลกระทบจากแรงสั่นสะเทือนต่อโครงสร้างและผู้พักอาศัย
- การเชื่อมต่อแบบไร้สายผ่าน 4G/LTE ทำให้สามารถส่งข้อมูลได้แบบเรียลไทม์
- ระบบแจ้งเตือนอัตโนมัติ เมื่อแรงสั่นสะเทือนเกินค่ามาตรฐานที่กำหนด
- แบตเตอรี่สำรองและพลังงานแสงอาทิตย์ ทำให้สามารถทำงานได้ต่อเนื่องแม้ในพื้นที่ที่ไม่มีไฟฟ้า
SV 307A Noise Monitoring Station เป็นโซลูชั่นที่ออกแบบมาเพื่อ การตรวจวัดเสียงรบกวนแบบถาวร รองรับการใช้งานในภาคอุตสาหกรรม เมือง และพื้นที่ที่ต้องการเฝ้าระวังระดับเสียงอย่างแม่นยำ ด้วยคุณสมบัติสำคัญดังต่อไปนี้
- เทคโนโลยี MEMS Microphone ใช้ไมโครโฟน MEMS ที่มาพร้อมกับ การรับประกันตลอดอายุการใช้งาน และมีระบบตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลแบบเรียลไทม์
- การเชื่อมต่อผ่าน 4G และ SvanNET ช่วยให้สามารถรับส่งข้อมูลได้แบบเรียลไทม์ และแจ้งเตือนผ่าน SMS หรืออีเมลเมื่อตรวจพบเสียงเกินค่ามาตรฐาน
- การบันทึกและวิเคราะห์เสียงเชิงลึก รองรับ 1/3 Octave Analysis และ Triggered Audio Recording ซึ่งช่วยให้สามารถแยกประเภทของเสียงและระบุแหล่งที่มาได้แม่นยำ
- ระบบพลังงานที่มีประสิทธิภาพ สามารถทำงานได้นานถึง 5 วันโดยใช้แบตเตอรี่ในตัว และรองรับการเชื่อมต่อกับพลังงานแสงอาทิตย์
- ความทนทานสูง ออกแบบให้รองรับการทำงานในสภาพอากาศที่หลากหลาย ตั้งแต่อุณหภูมิ -20°C ถึง 60°C
สรุป
การจัดการมลพิษทางเสียงและความสั่นสะเทือนจำเป็นต้องใช้ทั้งมาตรการเชิงนโยบายและเทคโนโลยีที่ทันสมัย การบูรณาการ SV 803 และ SV 307A เข้ากับมาตรฐานและแนวทางการบริหารจัดการของภาครัฐ จะช่วยให้การเฝ้าระวังและควบคุมมลพิษเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ลดผลกระทบต่อประชาชน และส่งเสริมการพัฒนาเมืองที่ยั่งยืน


