เสียงรบกวนคืออะไร และส่งผลกระทบอย่างไรบ้าง

เสียงรบกวนคืออะไร

ผลกระทบจากเสียงรบกวน

  • สุขภาพจิต: เสียงรบกวนสามารถทำให้เกิดความเครียด ความวิตกกังวล และภาวะซึมเศร้าได้ โดยเฉพาะหากเสียงรบกวนเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและไม่สามารถควบคุมได้
  • สุขภาพกาย: เสียงรบกวนที่มีระดับความดังสูงสามารถทำให้เกิดความเสียหายต่อระบบหูชั้นใน นำไปสู่การสูญเสียการได้ยินชั่วคราวหรือถาวร นอกจากนี้เสียงรบกวนยังสามารถส่งผลต่อความดันโลหิต หัวใจ และระบบหลอดเลือด ทำให้มีโอกาสเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดสูงขึ้น
  • คุณภาพการนอนหลับ: เสียงรบกวนที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานอนสามารถทำให้การนอนหลับไม่สนิท ตื่นบ่อย และมีคุณภาพการนอนที่ไม่ดี ซึ่งส่งผลต่อการทำงานและความสามารถในการใช้ชีวิตประจำวัน
  • ประสิทธิภาพในการทำงานและการเรียนรู้: เสียงรบกวนในที่ทำงานหรือสถานศึกษาสามารถทำให้ความสามารถในการทำงาน การเรียนรู้ และการจดจำลดลง เนื่องจากเสียงรบกวนทำให้สมาธิและการจดจ่อลดลง

กฎหมายและมาตรฐานเสียงรบกวน

ในประเทศไทย มีกฎหมายและมาตรฐานเกี่ยวกับเสียงรบกวนที่ถูกกำหนดขึ้นเพื่อควบคุมและลดผลกระทบจากเสียงรบกวน จากหน่วยงานต่างๆ ดังนี้

กรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

เรื่อง กำหนดมาตรฐานระดับเสียงและค่าระดับเสียงรบกวน
เรื่อง ค่าระดับเสียงรบกวนเรื่องกำหนดโครงการ กิจการ หรือการดำเนินการ ซึ่งต้องจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม

กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข

เรื่อง กำหนดค่ามาตรฐานมลพิษทางเสียงอันเกิดจากการประกอบกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ
กำหนดมาตรการและวิธีการควบคุมเสียงในสถานประกอบการเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพของพนักงานและประชาชนทั่วไป

กรมโรงงงานอุสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม

เรื่อง วิธีการตรวจวัดระดับเสียงการรบกวน ระดับเสียงเฉลี่ย ๒๔ ชั่วโมง และระดับเสียงสูงสุด ที่เกิดจากการประกอบกิจการโรงงาน

กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กระทรวงแรงงาน

เรื่อง กำหนดมาตรฐานในการบริหาร จัดการ และดําเนินงานด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานเกี่ยวกับความร้อน แสงสว่าง และเสียง

ซึ่งในแต่ละหน่วยงานได้มีกำหนดมาตรฐานระดับเสียงที่ยอมรับได้ในพื้นที่ต่าง ๆ เช่น พื้นที่อยู่อาศัย พื้นที่พาณิชย์ พื้นที่อุตสาหกรรมและในสถานประกอบการ
กำหนดมาตรการและวิธีการควบคุมเสียงในสถานประกอบการเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพของพนักงานและประชาชนทั่วไป
กำหนดมาตรการและข้อปฏิบัติสำหรับการควบคุมเสียงจากการก่อสร้างเพื่อไม่ให้รบกวนชุมชนโดยรอบ
กำหนดเวลาและวิธีการดำเนินการก่อสร้างเพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานที่กำหนด

ขั้นตอนและวิธีการประมินเสียงรบกวน

การวัดเสียงรบกวนต้องใช้อุปกรณ์ที่มีความแม่นยำและเป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนด ดังนี้:

มาตรฐานเครื่องวัดเสียง

เครื่องวัดเสียงที่ผ่านการรับรองตามมาตรฐาน เช่น IEC 61672-1 หรือ ANSI S1.4 Class 1 หรือ Class 2เพื่อความแม่นยำและน่าเชื่อถือ

การสอบเทียบ (Calibration)

ก่อนและหลังการใช้งานทุกครั้งควรสอบเทียบเครื่องวัดเสียงด้วยเครื่องสอบเทียบ (Calibrator) ที่ผ่านการรับรองตามมาตรฐาน IEC 60942

ขั้นตอนการตรวจวัดและประมวลผลเสียงรบกวน

  • การเตรียมอุปกรณ์:
    ตรวจสอบสภาพเครื่องวัดเสียงและแบตเตอรี่ให้พร้อมใช้งาน
    สอบเทียบเครื่องวัดเสียงด้วยเครื่องสอบเทียบเพื่อให้แน่ใจว่าเครื่องวัดเสียงทำงานอย่างถูกต้อง
  • การตั้งค่าการวัด:
    ตั้งค่าช่วงความถี่ (Frequency Weighting) เป็น A-weighting (dB(A)) สำหรับการวัดระดับเสียงที่สอดคล้องกับการได้ยินของมนุษย์
    ตั้งค่าความเร็วในการตอบสนอง (Time Weighting) เป็น Fast (F) หรือ Slow (S) ตามวัตถุประสงค์ของการวัด
  • การเลือกตำแหน่งการวัด:
    เลือกตำแหน่งการวัดที่เหมาะสมตามมาตรฐาน เช่น ระดับความสูง 1.2 – 1.5 เมตรจากพื้นดิน และอยู่ห่างจากแหล่งกำเนิดเสียงตามระยะที่กำหนด
    ในกรณีของการวัดเสียงในอาคาร ให้เลือกตำแหน่งการวัดที่สอดคล้องกับการใช้พื้นที่ เช่น พื้นที่ทำงานหรือพื้นที่อยู่อาศัย
  • การทำการวัด:
    เปิดเครื่องวัดเสียงและรอให้เครื่องปรับค่าตามสภาพแวดล้อม
    ทำการวัดระดับเสียงในช่วงเวลาที่กำหนดตามมาตรฐาน เช่น วัดต่อเนื่องเป็นเวลา 1 นาทีหรือมากกว่านั้น ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของการวัด บันทึกค่าเสียงที่ได้และตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล
  • การประมวลผลและรายงานผล:
    ประมวลผลข้อมูลเสียงที่วัดได้และเปรียบเทียบกับมาตรฐานระดับเสียงที่กำหนด
    จัดทำรายงานผลการวัดเสียงที่ชัดเจนและละเอียด รวมถึงข้อมูลการสอบเทียบและตำแหน่งการวัด

การตรวจวัดทิศทางของแหล่งกำเนิดเสียงในการตรวจวัดเสียงรบกวน
การตรวจวัดทิศทางของแหล่งกำเนิดเสียงในการตรวจวัดเสียงรบกวนมีความสำคัญอย่างมาก เนื่องจากช่วยให้สามารถระบุแหล่งที่มาของเสียงรบกวนได้อย่างแม่นยำและช่วยในการวางแผนเพื่อจัดการเสียงรบกวนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ความสำคัญของการตรวจวัดทิศทางของแหล่งกำเนิดเสียงมีดังนี้:

ความสำคัญของการตรวจวัดทิศทางของแหล่งกำเนิดเสียง

1. การระบุแหล่งกำเนิดเสียง:

การตรวจวัดทิศทางของแหล่งกำเนิดเสียงช่วยให้สามารถระบุแหล่งที่มาของเสียงรบกวนได้อย่างแม่นยำ เช่น เสียงจากการจราจร การก่อสร้าง หรือเครื่องจักรในโรงงาน
การระบุแหล่งที่มาของเสียงรบกวนเป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญในการแก้ไขปัญหาเสียงรบกวน

2. การประเมินความเข้มของเสียงจากแหล่งต่างๆ:

การตรวจวัดทิศทางช่วยให้สามารถประเมินความเข้มของเสียงจากแหล่งต่างๆ ได้แม่นยำขึ้น ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญในการกำหนดมาตรการควบคุมเสียงรบกวน
ช่วยให้สามารถแยกแยะความเข้มของเสียงจากแหล่งต่างๆ ที่อาจมีผลกระทบต่อสุขภาพและความเป็นอยู่ของประชาชน

3. การวางแผนและออกแบบมาตรการควบคุมเสียงรบกวน:

การทราบทิศทางของแหล่งกำเนิดเสียงช่วยในการวางแผนมาตรการควบคุมเสียง เช่น การติดตั้งแผงกันเสียง การวางผังเมืองที่เหมาะสม และการจัดโซนพื้นที่ตามระดับเสียง
ช่วยในการออกแบบมาตรการป้องกันเสียงรบกวนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น การกำหนดทิศทางการตั้งเครื่องจักรหรือการวางแผนการจราจร

4. การประเมินผลกระทบต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม:

การตรวจวัดทิศทางของแหล่งกำเนิดเสียงช่วยในการประเมินผลกระทบของเสียงรบกวนต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อมในทิศทางต่างๆ
ช่วยในการประเมินและปรับปรุงมาตรการควบคุมเสียงรบกวนในระยะยาว

วิธีการตรวจวัดทิศทางของแหล่งกำเนิดเสียง

1. การใช้ไมโครโฟนหลายตัว:

การใช้ไมโครโฟนหลายตัวในตำแหน่งต่างๆ เพื่อตรวจจับและวิเคราะห์ทิศทางของแหล่งกำเนิดเสียง
การวิเคราะห์ข้อมูลจากไมโครโฟนหลายตัวสามารถทำได้ด้วยการประมวลผลสัญญาณเสียง (Beamforming)

2. การใช้เครื่องวัดเสียงแบบรอบทิศทาง (Omnidirectional Microphone):

เครื่องวัดเสียงแบบรอบทิศทางสามารถจับเสียงจากทุกทิศทางและช่วยในการประเมินทิศทางของแหล่งกำเนิดเสียงได้

3. การใช้เทคนิคการวิเคราะห์ทิศทาง (Direction Finding Techniques):

การใช้เทคนิคการวิเคราะห์ทิศทาง เช่น เทคนิคการวัดเวลาเดินทางของเสียง (Time-of-Arrival, TOA) และเทคนิคการวัดความต่างเฟสของเสียง (Phase Difference) เพื่อประเมินทิศทางแหล่งกำเนิดเสียง

ขั้นตอนการตรวจวัดและประมวผลเสียงรบกวนและทิศทางของแหล่งกำเนิดเสียง

การวัดระดับเสียงและทิศทางเสียงต้องใช้อุปกรณ์ที่มีความแม่นยำและเป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนด ดังนี้:
มาตรฐานการวัดระดับเสียง

  • เครื่องวัดเสียงที่ผ่านการรับรองตามมาตรฐาน เช่น IEC 61672-1 หรือ ANSI S1.4
  • เครื่องสอบเทียบ (Calibrator) ที่ผ่านการรับรองตามมาตรฐาน IEC 60942
  • มาตรฐานกำหนดวิธีการวัดและการประเมินเสียงในสิ่งแวดล้อม (Environmental Noise) อ้างอิงตามISO 1996-1

มาตรฐานการวัดทิศทางเสียง

  • เครื่องวัดเสียงแบบ 1/3-octave band filters ที่สามารถใช้ในการวิเคราะห์ทิศทางเสียง ตามมาตรฐาน IEC 61260-1
  • มาตรฐานกำหนดวิธีการวัดเสียงที่มาจากแหล่งกำเนิดเสียงที่มีความแตกต่างกันในสิ่งแวดล้อมอ้างอิงตาม ISO 3744 ใช้ในการวัดและประเมินทิศทางเสียงจากแหล่งกำเนิดเสียงในพื้นที่เปิด

การตรวจวัดระดับเสียงและทิศทางเสียง

  • การเตรียมเครื่องมือและการสอบเทียบ:
    เครื่องวัดเสียงและเครื่องมือวัดทิศทางเสียงต้องได้รับการสอบเทียบก่อนและหลังการใช้งานด้วยเครื่องสอบเทียบที่ผ่านการรับรอง
  • การตั้งค่าการวัด:
    ตั้งค่าช่วงความถี่ (Frequency Weighting) เป็น A-weighting (dB(A)) สำหรับการวัดระดับเสียง
    ตั้งค่าความเร็วในการตอบสนอง (Time Weighting) เป็น Fast (F) หรือ Slow (S) ตามวัตถุประสงค์ของการวัด
  • การเลือกตำแหน่งและทิศทางการวัด:
    เลือกตำแหน่งการวัดที่เหมาะสมและตรงตามมาตรฐาน เช่น ระดับความสูง 1.2 – 1.5 เมตรจากพื้นดิน และอยู่ห่างจากแหล่งกำเนิดเสียงตามระยะที่กำหนด
    ในการวัดทิศทางเสียง ให้ใช้ไมโครโฟนหลายตัวหรือเครื่องวัดเสียงแบบรอบทิศทางเพื่อตรวจจับและวิเคราะห์ทิศทางเสียง
  • การบันทึกและประมวลผลข้อมูล:
    บันทึกค่าเสียงและทิศทางเสียงที่วัดได้ ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล และเปรียบเทียบกับมาตรฐานที่กำหนด
    จัดทำรายงานผลการวัดที่ชัดเจนและละเอียด รวมถึงข้อมูลการสอบเทียบและตำแหน่งการวัด

สรุป

การตรวจวัดทิศทางของแหล่งกำเนิดเสียงในการตรวจวัดเสียงรบกวนมีความสำคัญอย่างยิ่งในการระบุแหล่งที่มาของเสียงรบกวน ประเมินความเข้มของเสียงจากแหล่งต่างๆ วางแผนมาตรการควบคุมเสียงรบกวน และประเมินผลกระทบต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม การใช้เครื่องมือและเทคนิคที่เหมาะสมในการตรวจวัดทิศทางของเสียงจะช่วยให้การจัดการเสียงรบกวนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

 กลับสู่สารบัญ

สินค้าแนะนำ

PDPA Icon

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save