Black Carbon ภัยเงียบใน PM2.5

Black Carbon ภัยเงียบใน PM2.5 ที่คุกคามสุขภาพและโลกของเรา

ในยุคที่มลพิษทางอากาศเป็นประเด็นสำคัญระดับโลก ฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ได้รับความสนใจอย่างมากว่ามีผลกระทบต่อสุขภาพมากเพียงใด ซึ่งในบรรดาองค์ประกอบที่ซับซ้อนของ PM2.5 นั้น มีอนุภาคหนึ่งที่โดดเด่นในด้านความเป็นพิษและผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศที่รุนแรง นั่นคือ แบล็กคาร์บอน (Black Carbon: BC) หรือที่รู้จักกันในชื่อ “เขม่าดำ” บทความนี้จะเจาะลึกว่าทำไมแบล็กคาร์บอนจึงเป็นภัยเงียบที่ร้ายกาจที่สุดใน PM2.5 และส่งผลกระทบต่อร่างกายของเราอย่างไร

PM2.5 และ Black Carbon ภัยคุกคามที่ต้องรู้จัก

PM2.5 คืออนุภาคของแข็งหรือหยดของเหลวที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางเล็กกว่า 2.5 ไมโครเมตร(mean cut point 2.5 micron) ซึ่งเล็กกว่าเส้นผมมนุษย์ถึง 28 เท่า ด้วยขนาดที่เล็กจิ๋วนี้ทำให้มันสามารถแทรกซึมเข้าสู่ปอดได้อย่างง่ายดาย และสามารถหลีกเลี่ยงการป้องกันตามธรรมชาติของร่างกายได้ PM2.5 ไม่ใช่สารเดี่ยว แต่เป็นส่วนผสมที่ซับซ้อนของสารอินทรีย์และอนินทรีย์ เช่น ไนเตรต ซัลเฟต โลหะหนัก และสารก่อมะเร็งต่างๆ แหล่งกำเนิดหลักมาจากกิจกรรมของมนุษย์ เช่น การจราจร การเผาไหม้เชื้อเพลิงในครัวเรือน และอุตสาหกรรม

ในส่วนของแบล็กคาร์บอน นั้น เป็นองค์ประกอบหลักของเขม่าดำที่เกิดจากการเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์ของเชื้อเพลิงฟอสซิล ชีวมวล และเชื้อเพลิงชีวภาพ แบล็กคาร์บอน มีคุณสมบัติการดูดซับแสงที่แข็งแกร่ง ทำให้มันมีสีดำ และเป็นตัวขับเคลื่อนสภาพภูมิอากาศที่มีศักยภาพสูง แม้จะมีอายุในบรรยากาศเพียงไม่กี่วันจนถึงหลายสัปดาห์ (4-12 วัน) และผลกระทบต่อการทำให้โลกร้อนขึ้นของมันก็รุนแรงกว่าคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 1,500 เท่าต่อหน่วยมวล

ทำไม Black Carbon จึงอันตรายเป็นพิเศษ?

แบล็กคาร์บอนมีความเป็นพิษสูงกว่าองค์ประกอบอื่นใน PM2.5 ด้วยกลไกเฉพาะหลายประการ

1. การแทรกซึมที่เหนือกว่า อนุภาคขนาดเล็กพิเศษ

อนุภาคแบล็กคาร์บอนส่วนใหญ่มีขนาดเล็กมาก โดยมีเส้นผ่านศูนย์กลางน้อยกว่า 100 นาโนเมตร ขนาดที่เล็กจิ๋วนี้ทำให้มันสามารถหลีกเลี่ยงกลไกการกรองของทางเดินหายใจส่วนบน และแทรกซึมลึกเข้าไปในถุงลมปอด ซึ่งเป็นบริเวณที่ละเอียดอ่อนที่สุดสำหรับการแลกเปลี่ยนก๊าซ

ที่น่ากังวลยิ่งกว่านั้นคือ เมื่ออยู่ในปอดส่วนลึก แบล็กคาร์บอนสามารถเคลื่อนย้ายผ่านเยื่อหุ้มปอดเข้าสู่กระแสเลือดได้ จากนั้นอนุภาคเหล่านี้จะหมุนเวียนไปทั่วร่างกายและสะสมในอวัยวะต่างๆ นอกปอด เช่น หัวใจ ม้าม ต่อมน้ำเหลือง ไต และข้อกระดูก ที่สำคัญคือ แบล็กคาร์บอนยังถูกพบว่าสามารถเข้าสู่รกและสะสมในฝั่งของทารกในครรภ์ได้ และยังสามารถเข้าสู่เซลล์สมองได้โดยตรง ร่างกายมนุษย์ดูเหมือนจะไม่มี “การป้องกันที่มีประสิทธิภาพ” ต่ออนุภาคขนาดเล็กพิเศษเหล่านี้ ซึ่งหมายความว่าเมื่อพวกมันเข้าสู่ร่างกายแล้ว ก็สามารถคงอยู่และแสดงผลกระทบที่เป็นพิษได้ทั่วร่างกาย

2. ทำลายเซลล์โดยตรง ภาวะเครียดออกซิเดชันและการอักเสบ

แบล็กคาร์บอนเป็นตัวกระตุ้นสำคัญที่ทำให้เกิดภาวะเครียดออกซิเดชันภายในร่างกาย ภาวะเครียดออกซิเดชันคือความไม่สมดุลระหว่างสารอนุมูลอิสระและสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งนำไปสู่ความเสียหายของเซลล์และเนื้อเยื่อ และเป็นปัจจัยที่ก่อให้เกิดโรคเรื้อรังหลายชนิด

นอกจากนี้ การสัมผัสแบล็กคาร์บอนยังกระตุ้นการตอบสนองการอักเสบในร่างกายอย่างสม่ำเสมอ การอักเสบเรื้อรังที่เกิดขึ้นจะทำให้เนื้อเยื่อเสียหายและส่งเสริมการดำเนินของโรคต่อไป ภาวะเครียดออกซิเดชันและการอักเสบที่เกิดจากแบล็กคาร์บอนนี้มีส่วนโดยตรงในการทำลาย DNA ซึ่งอาจปรากฏในรูปของการก่อตัวของ DNA adducts และการแตกของสาย DNA

3. ผลกระทบ “พาหะ” นำพามลพิษอันตรายอื่นๆ

แบล็กคาร์บอนมีอัตราส่วนพื้นที่ผิวต่อปริมาตรสูง ทำให้มันมีประสิทธิภาพในการดูดซับสูง และทำหน้าที่เป็น “พาหะ” หรือ “ตัวดูดซับ” สำหรับมลพิษที่เป็นพิษและก่อมะเร็งสูงอื่นๆ ที่มีอยู่ในบรรยากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แบล็กคาร์บอนมักถูกปล่อยออกมาพร้อมกับสารก่อมะเร็งกลุ่มโพลีไซคลิกอะโรมาติกไฮโดรคาร์บอน (PAHs) ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งที่ได้รับการยอมรับอย่างดี นอกจากนี้ แบล็กคาร์บอนยังสามารถทำหน้าที่เป็นพาหะสำหรับโลหะหนักต่างๆ เช่น เหล็ก แมงกานีส และโคบอลต์ ซึ่งมีส่วนสำคัญในการทำลาย DNA การมีสารประกอบที่ถูกดูดซับเหล่านี้บนพื้นผิวของอนุภาคแบล็กคาร์บอนจะเพิ่มความเป็นพิษโดยรวมของฝุ่นละอองที่สูดดมเข้าไปอย่างมีนัยสำคัญ

4. ความเป็นพิษต่อพันธุกรรมและการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรม

การสัมผัสแบล็กคาร์บอนสามารถนำไปสู่ความเสียหายโดยตรงต่อ DNA (ความเป็นพิษต่อพันธุกรรม) ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งหลายชนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งมะเร็งปอด นอกจากนี้ การสะสมของแบล็กคาร์บอนยังเชื่อมโยงกับการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรม (epigenetic derangements) ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงในการแสดงออกของยีนที่เกิดขึ้นโดยไม่เปลี่ยนแปลงลำดับ DNA พื้นฐาน และอาจส่งผลต่อความอ่อนแอต่อโรคตลอดชีวิต

ผลกระทบต่อสุขภาพที่ครอบคลุม

ผลกระทบต่อสุขภาพจากการสัมผัสแบล็กคาร์บอนนั้นครอบคลุมหลายระบบอวัยวะที่สำคัญ

  • โรคระบบทางเดินหายใจ: การสัมผัสแบล็กคาร์บอนทั้งในระยะสั้นและระยะยาวสามารถนำไปสู่การระคายเคืองปอด อาการไอ และทำให้เกิดหรือกำเริบของโรคหอบหืด การสัมผัสในระยะยาวยังเป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาของหลอดลมอักเสบเรื้อรังและโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD) ซึ่งเป็นโรคที่ดำเนินไปอย่างต่อเนื่องและมักไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ นอกจากนี้ยังเพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งปอดอย่างมีนัยสำคัญ
  • ผลกระทบต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด: แบล็กคาร์บอนมีความเชื่อมโยงอย่างสม่ำเสมอและแข็งแกร่งกับความผิดปกติของระบบหัวใจและหลอดเลือดหลายชนิด รวมถึงโรคหัวใจรูปแบบต่างๆ โรคหลอดเลือดสมอง และภาวะหัวใจวายที่ไม่ถึงแก่ชีวิต การสัมผัสแบล็กคาร์บอนยังสัมพันธ์กับการเพิ่มขึ้นของความดันโลหิต และเร่งภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของโรคหัวใจและหลอดเลือด
  • ความเสื่อมของระบบประสาทและสมรรถภาพทางปัญญา: อนุภาคแบล็กคาร์บอนที่เล็กเป็นพิเศษสามารถเข้าสู่เซลล์สมองได้โดยตรง การสัมผัสกับอากาศเสีย รวมถึงแบล็กคาร์บอน มีความสัมพันธ์กับความบกพร่องของสมรรถภาพทางปัญญาในทุกกลุ่มอายุ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็ก และยังเชื่อมโยงกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของการเกิดภาวะสมองเสื่อมและโรคเสื่อมของระบบประสาท เช่น โรคอัลไซเมอร์และพาร์กินสัน แบล็กคาร์บอนยังถูกพบว่ามีความสัมพันธ์โดยตรงกับคราบพลัคอะไมลอยด์ ซึ่งเป็นลักษณะทางพยาธิวิทยาที่สำคัญของโรคอัลไซเมอร์
  • ผลกระทบต่อประชากรกลุ่มเปราะบาง: แบล็กคาร์บอนส่งผลกระทบอย่างไม่สมส่วนต่อกลุ่มประชากรที่เปราะบาง เช่น เด็ก (รวมถึงทารกในครรภ์) ผู้สูงอายุ และบุคคลที่มีภาวะสุขภาพอยู่ก่อนแล้ว การสัมผัสแบล็กคาร์บอนก่อนคลอดมีความสัมพันธ์กับน้ำหนักแรกเกิดต่ำและความดันโลหิตสูงตั้งแต่แรกเกิด 

สรุปและข้อเสนอแนะ

Black carbon เป็นองค์ประกอบที่อันตรายอย่างยิ่งใน PM2.5 ด้วยขนาดที่เล็กเป็นพิเศษ ความสามารถในการกระตุ้นภาวะเครียดออกซิเดชันและการอักเสบ การทำหน้าที่เป็นพาหะนำพาสารพิษอื่นๆ และผลกระทบต่อพันธุกรรมที่รุนแรง ผลกระทบต่อสุขภาพที่ครอบคลุมและรุนแรงของมัน ตั้งแต่โรคระบบทางเดินหายใจและหัวใจและหลอดเลือด ไปจนถึงความเสื่อมของระบบประสาทและผลกระทบต่อทารกในครรภ์ เน้นย้ำถึงภัยคุกคามที่สำคัญต่อสุขภาพของมนุษย์ทั่วโลก

เนื่องจากแบล็กคาร์บอนมีอายุในบรรยากาศสั้น แต่มีศักยภาพในการก่อภาวะโลกร้อนและผลกระทบต่อสุขภาพที่รุนแรง การกำหนดกลยุทธ์ที่มุ่งลดการปล่อยแบล็กคาร์บอนโดยเฉพาะจึงเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง การดำเนินการดังกล่าวจะนำมาซึ่งผลประโยชน์ร่วมกันที่รวดเร็วและมีนัยสำคัญ ทั้งในการปรับปรุงคุณภาพอากาศและสุขภาพของประชาชน รวมถึงการบรรเทาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งสนับสนุนให้มีการจัดลำดับความสำคัญของแบล็กคาร์บอนในนโยบายด้านคุณภาพอากาศและสภาพภูมิอากาศ เพื่อสร้างโลกที่สะอาดและมีสุขภาพดีขึ้นสำหรับทุกคน

PDPA Icon

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save